เที่ยวยุโรป ไม่ต้องปั๊มพาสปอร์ตแล้ว! เริ่มใช้ระบบ EES (Entry/Exit System) 12 ตุลาคม 2025

แอดมิน

เที่ยวยุโรป ไม่ต้องปั๊มพาสปอร์ตแล้ว! เริ่มใช้ระบบ EES (Entry/Exit System) 12 ตุลาคม 2568

ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2568 (2025) เป็นต้นไป สหภาพยุโรป (EU) / โซนเชงเก้น (Schengen Area) จะเริ่มใช้ระบบใหม่ที่เรียกว่า Entry/Exit System (EES) สำหรับผู้เดินทางจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU (Third-Country Nationals) รวมถึงคนไทย ที่เดินทางเข้าหรือออกจากประเทศในโซนเชงเก้นระยะสั้น ระบบนี้เป็นการแทนที่การปั๊ม passport แบบเดิมด้วยการเก็บข้อมูลอัตโนมัติ (ดิจิทัล) เช่น ข้อมูลชีวมิติ (fingerprint และรูปหน้า) การเข้าออกเวลา สถานที่ ฯลฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดการล่วงเวลาอยู่เกินกำหนด (overstay) และทำให้การตรวจคนเข้าเมืองเร็วขึ้นและเป็นระบบยิ่งขึ้น

ในบทความนี้ ผมจะอธิบายแบบละเอียดว่า EES คืออะไร ใช้อย่างไร ใครต้องใช้ ใครได้ยกเว้น ผลกระทบต่อคนไทย และเตรียมตัวอย่างไรให้เที่ยวยุโรปได้สบายขึ้น พร้อม FAQ ที่คนไทยสงสัยมากที่สุดครับ


EES คืออะไร?

EES คืออะไร?

  • ชื่อเต็ม: Entry/Exit System (EES)

  • จุดประสงค์: บันทึกข้อมูลผู้เดินทางจากประเทศที่ไม่ใช่ EU เมื่อเข้า-ออกประเทศในโซนเชงเก้น (ทั้งผู้ที่ต้องขอวีซ่าและผู้ที่ไม่ต้องขอวีซ่า) โดยจะเก็บ:

    1. ข้อมูลบุคคลพื้นฐาน เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ

    2. ข้อมูลเอกสารการเดินทาง (passport)

    3. ข้อมูลชีวมิติ ‒ ถ่ายรูปใบหน้า (facial image) และสแกนนิ้วมือ (fingerprints) ในบางกรณี

    4. วันเวลาและจุด/สถานที่เข้าและออกประเทศ (entry & exit border crossing points)

    5. บันทึกการถูกปฏิเสธเข้าประเทศ (refusals)

  • แทนที่อะไร: แทนการปั๊มตราใน passport (manual stamp) เมื่อเข้า-ออกประเทศในโซน Schengen ซึ่งใช้มานาน แต่มีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำในการติดตามการเข้า-ออกจริง และการตรวจจับ overstay ได้ไม่ดีพอ


ใครต้องใช้ EES?

คนไทย จะอยู่ในกลุ่ม non-EU nationals / third-country nationals ที่

  • เดินทางเข้าหรือออกประเทศที่ใช้ระบบเชงเก้นหรือประเทศที่เข้าร่วม EES เพื่อ พำนักระยะสั้น (short stay) — คืออยู่ได้ไม่เกิน 90 วันในทุกช่วงเวลา 180 วัน

  • ไม่ว่าจะต้องขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen visa) หรือต้องการเดินทางโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ถ้าประเทศไทยได้รับสิทธิ์ไม่ต้องขอวีซ่า ก็ยังต้องเข้าสู่ระบบ EES


ใคร ไม่ ต้องใช้งาน EES / ได้รับการยกเว้น

มีบางกลุ่มที่จะได้รับการยกเว้น

  • ผู้ที่ถือ ใบอนุญาตพำนัก (residence permit) ของประเทศในโซน Schengen / EU ไม่ต้องผ่าน EES เหมือนผู้มาเที่ยวระยะสั้น

  • เด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ: ไม่ต้องสแกนนิ้วมือ แต่ยังต้องมีการถ่ายรูปใบหน้า (facial image) เมื่อเข้าออกตามที่ระบบกำหนด

  • บุคคลที่เข้าผ่านช่องทางที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย EU / Schengen เช่น ผู้ที่ถือวีซ่าระยะยาว (long-stay visa) หรือผู้มีใบอนุญาตพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด


เริ่มใช้เมื่อไร และการใช้งานเป็นอย่างไร (Timeline & Phases)

ขั้นตอน / ช่วงเวลา รายละเอียด
เริ่มต้นระบบ 12 ตุลาคม 2568 (2025)
ช่วงการนำร่อง / ปรับใช้งานแบบค่อยเป็นค่อยไป (Phased rollout) ระบบจะถูกนำไปใช้ที่ด่านตรวจชายแดนภายนอกของประเทศในกลุ่ม EES ทีละจุด ก่อน แล้วค่อยขยายจนครอบคลุมทุกด่าน ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล
เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ 10 เมษายน 2569 (2026) เป็นต้นไป ระบบจะทำงานครอบคลุมเต็มที่ ทุกด่านในประเทศที่ร่วม EES

ผลกระทบต่อคนไทย &สิ่งที่ต้องเตรียมตัว

  • ไม่มีตราปั๊ม (passport stamp) อีกต่อไปเมื่อเข้า/ออกประเทศในโซนที่ใช้ EES หลังจากระบบใช้งานเต็มที่

  • ต้อง สแกนนิ้วมือ (fingerprints) และ ถ่ายรูปใบหน้า เมื่อเข้า‐ออกประเทศในครั้งแรกหลังการใช้ระบบ (ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ต้องใช้วีซ่า หรือวีซ่าแบบที่ต้องใช้ข้อมูลชีวมิติ)

  • ต้องมั่นใจว่าหนังสือเดินทาง (passport) ของเรา ถูกต้อง ไม่หมดอายุ และถ้าเป็น passport ประเภทที่มีชีวมิติ (biometric passport) จะช่วยให้ผ่านด่านได้สะดวกขึ้น

  • ถ้ามีแผนเที่ยวหลายประเทศในโซนเชงเก้น ระวัง “stay rule” คือ ห้ามอยู่เกิน 90 วันในทุก ๆ 180 วัน ‒ ระบบ EES จะช่วยตรวจสอบว่าเราอยู่เกินหรือไม่

  • เตรียมเวลาเพิ่มหน่อยที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะหากเป็นครั้งแรกที่ใช้ระบบ EES หรือใช้ด่านที่เพิ่งเริ่มใช้ระบบนี้


ประเทศที่เข้าร่วม / ประเทศที่ระบบ EES ครอบคลุม

ระบบ EES จะใช้กับ 29 ประเทศ รวมทั้ง

  • ประเทศสมาชิก EU ที่อยู่ในโซน Schengen (ยกเว้น ไซปรัส (Cyprus) และ ไอร์แลนด์ (Ireland) ที่ยังคงใช้ตราปั๊มอยู่)

  • ประเทศที่ไม่ใช่ EU แต่เข้าร่วมโซน Schengen ได้แก่ นอร์เวย์ (Norway), ไอซ์แลนด์ (Iceland), สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland), และลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein)


จุดเด่น &ประโยชน์ของ EES

  • ลดการล่วงเวลาอยู่เกินกว่ากำหนด (overstay) ได้ดีขึ้น เพราะระบบบันทึกวันเข้า‐ออกจริงแบบดิจิทัล

  • ลดการปลอมตัวหรือใช้เอกสารปลอม เพราะใช้ข้อมูลชีวมิติช่วยยืนยันตัวบุคคลได้แม่นยำขึ้น

  • เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพ ที่ด่านตรวจ เพราะเมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ข้อมูลพื้นฐานสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ไม่ต้องกรอกซ้ําเยอะ

  • ความปลอดภัยในการเดินทางเพิ่มขึ้น ทั้งของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและผู้เดินทางเอง เพราะระบบมีบันทึก และตรวจสอบข้อมูลได้แม่นยำ มากขึ้น


FAQ — คำถามที่คนไทยมักสงสัยเกี่ยวกับ EES

  1. EES คืออะไร ต่างจากวีซ่าเชงเก้นไหม?

    • EES เป็นระบบบันทึกเข้า‐ออกและชีวมิติ ไม่ใช่วีซ่า ไม่เปลี่ยนกฎหมายวีซ่าเชงเก้นแต่อย่างใด ถ้าประเทศไทยต้องขอวีซ่าเชงเก้นอยู่แล้ว ก็ยังต้องขอเหมือนเดิม + ผ่านระบบ EES เมื่อเข้าออกประเทศ

  2. คนไทยต้องใช้ EES ตั้งแต่เมื่อไหร่?

    • ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2568 เริ่มใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป (phased rollout) และตั้งแต่ 10 เมษายน 2569 จะใช้งานเต็มรูปแบบทุกด่านภายนอกของประเทศที่เข้าร่วม EES

  3. ถ้าเราอยู่เกิน 90 วัน (overstay) จะเป็นอย่างไร?

    • ระบบ EES จะสามารถตรวจจับได้ง่ายขึ้นว่าเราเข้าออกวันไหน และอยู่ครบกี่วัน ถ้าพบว่าอยู่เกินกฎหมายกำหนด อาจมีการลงโทษ เช่น ในการเข้าสู่ประเทศเช่นกันในอนาคตอาจถูกปฏิเสธ หรือต้องมีผลกระทบบ้างกับประวัติเดินทางของเรา

  4. หากเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องสแกนนิ้วมือไหม?

    • ไม่ต้องสแกนนิ้วมือ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ถูกเก็บลายนิ้วมือ แต่ยังต้องมีรูปหน้าตามระบบ

  5. ถ้าหนังสือเดินทาง (passport) เราไม่ใช่แบบมีชิป (biometric passport) จะมีปัญหาไหม?

    • โดยหลักการ passport ปกติก็ยังใช้ได้ถ้าเป็น passport ที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่หมดอายุ แต่ในการใช้งานบางด่านที่เป็นระบบอัตโนมัติ (self-service kiosks หรือ automated border control) แบบใหม่ ๆ อาจมีเงื่อนไขที่ต้องใช้ passport แบบชีวมิติ (biometric) จึงควรตรวจสอบกับประเทศปลายทางก่อนเดินทาง

  6. ต้องเตรียมอะไรบ้างเพื่อเตรียมตัวให้ผ่าน EES ได้ง่าย?

    • ตรวจสอบ passport ว่ายังมีอายุเพียงพอ

    • มีรูปแบบ passport ชัดเจน ไม่หมดอายุ

    • ถ่ายรูปใบหน้า &นิ้วมือ (ถ้ามี) ให้พร้อม — โดยเฉพาะครั้งแรกที่เข้าใช้ระบบ

    • เตรียมเวลาเพิ่มหน่อยที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะสนามบินที่ใหญ่หรือด่านที่เพิ่งเริ่มใช้ระบบ EES

  7. ถ้าไปหลายประเทศในเชงเก้น ต้องทำหลายครั้งไหม?

    • ระบบจะบันทึกเมื่อเข้าและออก แม้จะมีหลายประเทศ แต่ถ้าทางเข้าและทางออกต่างด่าน จะถูกบันทึกทุกครั้ง จำนวนวันอยู่สะสมตามกฎหมาย 90 วันใน 180 วัน แต่ไม่ต้องยื่นอะไรเพิ่มเติมทุกครั้งนอกจากผ่านด่านด้วย EES แล้วทำตามขั้นตอนที่กำหนดของด่านนั้น ๆ

  8. ETIAS คืออะไร เริ่มเมื่อไร ต่างกับ EES ไหม?

    • ETIAS = European Travel Information and Authorisation System เป็นระบบขออนุญาตเดินทางล่วงหน้าสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์เดินทาง ไม่ต้องขอวีซ่า เมื่อเข้ายุโรป จะคล้าย ESTA ของสหรัฐฯ เริ่มใช้อย่างคร่าว ๆ ปลายปี 2026

    • ต่างจาก EES: EES เป็นการบันทึกเข้า-ออกและชีวมิติเมื่อผ่านด่าน ส่วน ETIAS เป็นขออนุญาตก่อนเดินทาง ถ้าเริ่มใช้งานแล้วคนที่ต้องการเดินทางในแบบ visa-exempt จะต้องขอ ETIAS ด้วย

  9. EES จะทำให้ด่านตรวจเข้าเมืองช้าไหม?

    • ในช่วงแรก ๆ อาจมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเฉพาะที่ด่านที่ยังไม่ชำนาญ/ยังปรับระบบ แต่เมื่อระบบ EES ถูกใช้อย่างแพร่หลายและการจัดการดีขึ้น จะช่วยลดเวลารอในด่านตรวจ เพราะข้อมูลพื้นฐานจะถูกบันทึกไว้แล้ว ไม่ต้องกรอกซ้ำเยอะ

  10. หากไม่ผ่าน EES จะเกิดอะไรขึ้น เช่น ปฏิเสธการเข้าออกประเทศ?

    • ถ้าหากไม่ให้ข้อมูลที่จำเป็น (เช่น สแกนนิ้วมือในกรณีที่ต้องการ, รูปใบหน้า, หรือข้อมูล passport) อาจถูกปฏิเสธเข้า (denied entry) ได้ตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ

    • นอกจากนี้ถ้ามีประวัติ overstay หรือฝ่าฝืนกฎอื่น ๆ อาจกระทบ การอนุญาตเข้าในอนาคต หรือถูกตรวจสอบหรือเรียกเก็บค่าปรับได้ ขึ้นกับกฎหมายของแต่ละประเทศในโซนเชงเก้น

ระบบ EES คือการเปลี่ยนแปลงใหญ่สำหรับผู้เดินทางที่ไม่ใช่พลเมือง EU หรือ Schengen สิ่งที่คนไทยต้องรู้คือ: ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2568 จะเริ่มใช้ระบบนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป และเริ่มเต็มรูปแบบได้ประมาณ 10 เมษายน 2569 อย่าลืมเตรียม passport ให้เรียบร้อย ตรวจอายุให้พอ มี passport แบบชีวมิติถ้าเป็นไปได้ เตรียมตัวให้พร้อมกับสแกนนิ้วมือ / รูปใบหน้า และวางแผนการอยู่ในยุโรปให้ไม่เกิน 90 วันในทุก 180 วัน เพื่อเลี่ยงปัญหา overstay


วางแผนเที่ยวยุโรปให้คุ้ม — เลือกเส้นทางและฤดูกาลที่ใช่กับคุณ

กำลังเตรียมตัวออกเดินทางสู่ทวีปยุโรป? ไม่ว่าคุณจะอยากสัมผัสเสน่ห์ปารีส ลอนดอน หรือโรม ไปจนถึงธรรมชาติสุดอลังการของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ ทัวร์ยุโรป มีเส้นทางและแพ็กเกจให้เลือกหลากหลาย ทั้งฝรั่งเศส อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี หรือเส้นทางยุโรปตะวันออกที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Thaifly คอยช่วยออกแบบทริปให้เหมาะกับงบ เวลาที่มี และสไตล์การท่องเที่ยวของคุณ

  • สายธรรมชาติ: สัมผัสความยิ่งใหญ่ของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ทะเลสาบเจนีวา และฟยอร์ดนอร์เวย์
  • สายวัฒนธรรม: เที่ยวหอไอเฟล โคลอสเซียม พระราชวังบัคกิงแฮม และเดินเล่นในเมืองเก่ายุโรปตะวันออก

ต้องการคำแนะนำแบบส่วนตัว? ให้ผู้เชี่ยวชาญ Thaifly ช่วยออกแบบเส้นทาง จัดการเอกสาร และวางงบประมาณ พร้อมเทียบแพ็กเกจ ทัวร์ยุโรป ที่ตรงใจคุณที่สุด

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

หัวข้อน่าอ่าน